เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ก.พ. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะ ให้ธรรมเป็นทานๆ คือให้สติปัญญาเป็นทาน ถ้าสติปัญญาเป็นทาน คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ต้องมีสติ ถ้ามีสติ มีสติมันยับยั้งได้หมด ยับยั้งความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้าความรู้สึกนึกคิดของเรา สิ่งใดที่ว่าให้โทษ กุศล อกุศล สิ่งที่เป็นกุศลนะ กุศล ทำคุณงามความดีเป็นกุศล เวลาเป็นอกุศล อกุศลมันให้โทษ ให้โทษแต่ความหงุดหงิดในหัวใจอย่างน้อยนะ ถ้าอย่างมากขึ้นมามันสร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมา เวรกรรมอันนั้นมันฝังคาใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อไปรื้อค้นสิ่งนี้ไง

เวลาเราให้ทาน ทาน ศีล ภาวนา เวลาให้ทาน ทานนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงชาวพุทธ สอนให้เสียสละ แต่ให้เสียสละเป็นวัตถุสิ่งของ วัตถุสิ่งของนี้เสียสละเพราะจิตใจมันคิด จิตใจมันมีความเจตนา มันตั้งใจ มันถึงเสียสละได้ แต่เวลาธรรมะนะ เราสละความทุกข์ความยากในใจของเรา แต่เวลามันสละความทุกข์ความยากในใจของเรา มันทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปูพื้นฐาน

พื้นฐาน ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา การเสียสละอย่างนี้คือการฝึกหัดหัวใจของเราไง ถ้าจิตใจของคนนะ จิตใจของคนมันมีการเสียสละ มีการให้อภัยต่อกัน จิตใจของคนคิดถึงสาธารณะ คิดถึงคนอื่นก่อน ถ้าคิดถึงคนอื่นก่อน เขามีความสุขนะ เขามีความสุขเพราะเขาเห็นประโยชน์กับคุณค่าในชีวิตของเขา เพราะเขามีชีวิตของเขา เขาดูแลชีวิตของเขาได้ด้วย เขายังมีจิตใจเป็นสาธารณะดูแลคนอื่นได้ด้วย แต่จิตใจของเขาเป็นคนทุกข์คนยาก เขามีมหาศาลขนาดไหน เขาไม่คิดถึงสาธารณะ เขาไม่คิดถึงเสียสละ มันมีแต่ความวิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ วิตกกังวลในหัวใจ สิ่งนั้นที่มันจะเป็นคุณๆ มันกลับมาเป็นโทษกับเรา

แต่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะมันเป็นคุณหมดเลย เป็นคุณเพราะเรามีคุณค่าในชีวิตนะ คนที่มีคุณค่าในชีวิต ชีวิตนี้รื่นเริง ชีวิตนี้มาความสุข คนที่ไม่มีคุณค่าในชีวิต มันกดดันชีวิตของตัวเองไง ถ้ามันกดดันชีวิตของตัวเอง คนเราเกิดมาปรารถนาสิ่งที่ดีงามทั้งนั้นน่ะ ของดีใครๆ ก็ต้องการของดี ข้าวของเงินทอง สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์มันก็ของดีทั้งนั้นแหละ แต่ของดีอย่างนี้ ของดีอย่างนี้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ยึดมั่นถือมั่นมาเป็นความทุกข์ของเราไง ถ้าเป็นของดีของเรา ของดีมันก็เป็นของดีของเรานี่แหละ แต่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะมันทำเพื่อประโยชน์ๆ ไง

ของไม่ดีไม่มีใครต้องการ ของไม่ดีไม่มีใครต้องการ ต้องการแต่ของดีๆ ทั้งนั้น ของดีทั้งนั้นเป็นเรื่องโลก วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ของใดที่สะอาดบริสุทธิ์ ของใดที่สกปรก เราพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ว่ามันดีหรือมันชั่ว แต่มันดีมันชั่วนะ ทำไมจิตใจเราไปยึดมั่นถือมั่นอีกล่ะ ทำไมความดีๆ ความดีในใจของเรา ถ้าความดีในใจของเรา เราเสียสละของเรา เสียสละของเรา การเสียสละของเรานี่ความดีของเรา ถ้าเสียสละของเราเพื่ออะไร เพื่อดัดแปลงหัวใจดวงนี้ไง หัวใจของเราที่มันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเพราะอะไรล่ะ เวลาตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันจะมีมากน้อยขนาดไหนมันก็ยังแสวงหาของมันไม่มีวันจบวันสิ้น แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ สิ่งที่แสวงหามามันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของเรา มันไหลมาเทมาของมัน ถ้ามันไหลมาเทมาด้วยอำนาจวาสนา มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง ถ้ามันล้นฝั่ง ถ้าเรามีการเสียสละ เสียสละเพื่อฝึกหัดหัวใจดวงนี้

สิ่งที่เราได้มา ถ้ามีสติปัญญามันรื่นเริงนะ เวลาถ้ามันเสียสละของมันออกไป เห็นคนที่เขาได้ประโยชน์จากการเสียสละของเรามันมีความสุขของมัน นี่ไง อุบายๆ ถ้าอุบายของเรา คำว่า “อุบายของเรา” ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราเห็นคุณค่าของมัน ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามันมีทานของมัน ของดีๆ ไง ของดีใครๆ ก็ต้องการ ถ้าของดีอย่างนี้มันต้องการทางโลก ทางโลกที่เขาเสียสละของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เขาไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ เลย แต่เขาทำคุณงามความดีของเขาคือเป็นคุณงามความดีของเขา

ตอนนี้โลกสมัยใหม่ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย เพราะอะไร เพราะผู้ที่เป็นศาสนทายาทเขาทำตัวกันอย่างไร เขารับไม่ได้ เขาไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย แต่เขาทำคุณงามความดีก็เป็นความดีของเขา แต่ความดีของเขา ความดีของเขา วุฒิภาวะของเขาได้แค่นั้นเขาก็ได้แค่นั้น ความดีของโลก ดูสิ ทางโลกเขาเกื้อหนุนจุนเจือกัน แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน บุพเพนิวาสานุสติญาณ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ในปัจจุบันนี้ ดูสิ ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย เขาก็ทำคุณงามความดีของเขา คุณงามความดีของเขามันก็เป็นโลกียะ เป็นเรื่องโลกๆ ไง เป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกรัฐบาลเขาก็มีรัฐสวัสดิการทั้งนั้นน่ะ เขาก็ดูแลประชาชนของเขา รัฐบาลไปเกิดชาติไหน รัฐบาลเขาจะไปเกิดภพชาติใด เขาเป็นองค์กร เขาไม่มีสิ่งใด แต่รัฐบาลเขามีหัวหน้าเป็นหัวหน้ารัฐบาล เขาทำคุณงามความดีเป็นของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของโลกๆ ก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง เรามองทางโลกไง พระพุทธศาสนาสอนว่าชีวิตนี้มาจากไหน เวลาเกิดมา เกิดมาอย่างไร เกิดมาจากเวรจากกรรม การกระทำดี กรรมดีกรรมชั่วไง คนเราเกิดมาแล้วถึงจริตนิสัยไม่เหมือนกันไง ไม่เหมือนกัน เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็นกษัตริย์ เสียสละทางโลกมันสูงสุดอยู่แล้วล่ะ สูงสุดอยู่แล้วในทางโลก นี่ท่านเสียสละ เพราะถ้าเป็นกษัตริย์ ท่านปกครองของท่าน ท่านต้องรับผิดชอบของท่าน ท่านก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดของท่าน ทำคุณงามความดีขนาดไหนก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะว่าได้สร้างสมบุญญาธิการ เวลาย้อนไปอดีตชาติเป็นพระเวสสันดรก็เป็นกษัตริย์ เป็นกษัตริย์เป็นซ้ำเป็นซาก เป็นมาบ่อยๆ เป็นจักรพรรดิก็เป็นมาแล้วทั้งนั้นน่ะ ทีนี้เป็นมา แล้วชาตินี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้อีก เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกใช่ไหม

นี่ไง ถึงว่าถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันต้องมีฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามนี้ใครจะแสวงหาได้ล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสวงหา มารื้อค้นของท่านไง ท่านตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบ โดยชอบธรรมของท่าน ท่านปฏิบัติของท่านโดยชอบธรรมของท่าน ถึงเป็นสัจจะความจริงของท่าน ถ้าสัจจะความจริงของท่าน นี่พระพุทธศาสนา มันถึงมีศาสนาขึ้นมา มีพระพุทธกับมีพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เทศน์แสดงธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก สงฆ์มันสงฆ์ในหัวใจไง นี่ไง ในหัวใจ ในสัจธรรม ในอริยสัจ ในอริยสัจ อกุปปธรรม ธรรมะที่คงที่ตายตัวในใจอันนั้น ถ้าตายตัวในใจอันนั้น ถ้ามันสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปมันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันไม่เกิดอีก ไม่เกิดก็ไม่แก่ ไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ไม่เจ็บก็ไม่ตาย เพราะมันไม่เกิด ไม่เกิดเพราะอะไร ไม่เกิดเพราะมันไม่มีอวิชชา ไม่เกิดเพราะมันไม่มีความไม่รู้ที่มันเวียนว่ายตายเกิด

แต่เรามีความไม่รู้อยู่นี่ไง ชีวิตนี้มาจากไหนๆ ก็มาจากอวิชชามันปิดหูปิดตามานี่ มันถึงได้เวียนว่ายตายเกิด ของของเราๆ ทำคุณงามความดีก็ยึด ทำความชั่วมันก็ยิ่งตอกย้ำในหัวใจ ทำดีทำชั่ว กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราเกิดเพราะเวรเพราะกรรมของเรา เราทำของเรามาไง ทีนี้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ พอวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราเกิดมาแล้วก็ศึกษาของเรา เรามาเสียสละทานของเรา เสียสละทานของเราเพราะอะไร เสียสละทานของเราเพราะมันเป็นสมบัติของเราไง สิ่งที่เสียสละไปเป็นวัตถุ แต่สิ่งที่ได้มาคือความรู้สึกของเรา คือเจตนา คือความคิดเห็นของเราที่เป็นทิพย์ๆ ระลึกเมื่อไหร่ก็ได้ คนทำจนชำนาญขึ้นมาเขาไม่ต้องเสียสละวัตถุ เขาเสียสละหัวใจของเขา เห็นคนเขาทำคุณงามความดี จิตใจมันชื่นบานไปกับเขา อนุโมทนาไปกับเขา ทุกคนทำแต่คุณงามความดี ทุกคนทำแต่ความดี ต่างคนต่างทำคุณงามความดี มันเสียสละจากน้ำใจ

ถ้าเสียสละจากน้ำใจ เวลาความคิดมันเกิดขึ้น เวลามันคิดขึ้นมามันก็กระเทือนหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทาน ศีล ภาวนา ศีลคือความปกติของใจ เราพยายามทำใจของเราให้สงบระงับเข้ามาให้ได้ ถ้าใจสงบระงับมาให้ได้นะ สิ่งที่เราแสวงหา เราแสวงหากันทางโลกนี้ มันเป็นหน้าที่การงานของโลกเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเพื่อดำรงชีวิต แต่ชีวิตนี้มันมีค่าๆ มีค่าเพราะอะไร เพราะเราหาเวลาของเราทำความสงบของใจ นั่งสมาธิภาวนาเพื่อความสงบระงับอันนี้ไง ถ้าความสงบระงับอันนี้ ผู้ที่เขาประสบความสำเร็จของเขา เขาต้องมีสติของเขา เขาต้องมีปัญญาของเขา สติมันจะเกิดขึ้น ถ้าสติเกิดขึ้น ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ทำเพื่อดำรงชีพๆ ทำเพื่อหัวใจของเรา มีสติปัญญามันก็แยกแยะของมัน ถ้ามีสติ ทำความสงบของใจได้ ใจมันมั่นคงขึ้นมา ใจมั่นคงขึ้นมามันเป็นตัวของเรา ถ้าเราออกฝึกหัดใช้ปัญญาๆ นี่มันจะพูดเรื่องศาสนาแล้ว ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาเกิดจากตรงนี้ ปัญญาเกิดจากการภาวนา

ปัญญาของเรา ปัญญาหน้าที่การงานของโลกมันเป็นปัญญาจากสมอง ปัญญาจากสถิติ บริษัทใหญ่ๆ เขาจ้างที่ปรึกษาๆ ที่ปรึกษาของเขา ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาที่เขาชำนาญการเป็นแต่ละแขนงๆ ของเขาไป นี่คือปัญญาทางโลกที่แสวงหาเพื่อผลประโยชน์ของเขา เพื่อการแข่งขันของเขา

แต่เวลาเป็นปัญญาของเรา ปัญญาของเรานะ ปัญญาของเรา ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของพระอัญญาโกณฑัญญะ ปัญญาของปัญจวัคคีย์ ปัญญาของยสะ ปัญญาของใคร ปัญญาของเขา แต่ปัญญานี้มันเกิดจากการกระตุ้น ปัญญานี้เกิดจากการชี้นำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนเข้าเกิดสู่ปัญญาภายในของเรา ถ้าเกิดปัญญาภายในของเรา เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นจิตๆ จิตของเรามันเกิดอย่างไร

เริ่มต้นตั้งแต่เราเป็นปุถุชนมันทุกข์มันยากขึ้นมาเพราะความคิดของเรา เพราะความวิตกกังวลของเรา เป็นความทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ ทำความสงบของใจๆ ใจมันสงบแล้ว เห็นจิตๆ จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นๆ จิตเห็นมันถึงจะเกิดปัญญา ถ้าจิตไม่เห็นมันจะไปลับกับอะไรล่ะ ดูสิ ลับมีดเขาลับด้วยหินใช่ไหม นี่ไง เวลาปัญญามันเกิด จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม จิตเห็น จิตคือความสงบของใจ ใจมันสงบแล้วมันรู้มันเห็นของมัน มันจะลับปัญญาของมันขึ้นมา ถ้าปัญญา นี่ปัญญาของเราๆ จิตดวงใดถ้ารู้เห็นอย่างนี้มันจะเกิดปัญญาอันนั้นขึ้นมา แล้วปัญญานี้เกิดขึ้นมา ภาวนามยปัญญา แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เพราะมันส่งออกหมด มันไปพูดถึงกิริยา พูดถึงวิธีการ พูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนไว้ แต่ตัวมันเองมันไม่เคยเห็น

ถ้ามันเคยเห็น ดูสิ เวลาหลวงตาท่านไปวัดนรนาถ เขาบอก “มหา ให้ดูนี่สิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ” เขาเขียนเป็นชาร์ต ทางวิชาการเขาทำกันอย่างนั้น ปัจจยาการก็เขียนขึ้นมาเป็นชาร์ต หนังสือก็เป็นทฤษฎีทั้งหมด เขาไม่เคยเห็นใจของเขา เขาไม่รู้จักใจของเขา เขาไม่รู้จักสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเขาไม่รู้จักใจของเขา เขาจะแก้ใจของเขาได้อย่างไร ถ้าเขาไม่เห็นใจของเขา เขาจะรื้อถอนอวิชชาในใจของเขาได้อย่างไร

เวลาศึกษามาศึกษาเรื่องคนอื่นทั้งนั้นน่ะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็วางธรรมวินัย วางทฤษฎีนี้ไว้ วางทฤษฎีนี้ไว้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแก้องคุลิมาล

ดูสิ องคุลิมาลจะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ องคุลิมาลวิ่งตามขนาดไหนก็ไม่ทัน “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุด”

วิ่งตามอย่างไรก็ไม่ทัน ไม่หยุดที่ไหนล่ะ

ไม่หยุดที่ต้องการนิ้วไง ไม่หยุดที่การฆ่าเขาไง ไม่หยุดเพราะยังแสวงหาไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหยุดแล้ว

ได้สติ หยุดเลย วางดาบลงเลย เห็นไหม เวลามันเป็น มันเป็นตรงนั้นน่ะ มันเป็นในใจที่มันคิดได้ ระลึกได้ ถ้ามันระลึกได้ เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันระลึกได้ จิตมันรู้ได้ ถ้าจิตมันรู้ได้ นี่ไง ไอ้ตัวนี้ตัวเกิด เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามีปัญญาขึ้นมามันก็ถอดถอนที่นี่ ภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาไง แต่สิ่งที่เราศึกษากัน เราแสวงหากัน อย่างนั้นมันเป็นทฤษฎี ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เราต้องศึกษา ศึกษามาเป็นแนวทาง ถ้าศึกษามาแล้ว พอเป็นแนวทางขึ้นมา เอาแนวทางมาโต้แย้งกัน แต่ไม่ได้เอาความเป็นจริงในหัวใจมาโต้แย้งกันเลย เพราะมันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น นี่ไง ไม่รู้ไม่เห็น

แล้วระดับการปฏิบัติของเราตั้งแต่ทาน ทานก็ตั้งแต่ไอ้เจตนาเรานี่แหละ ไอ้ความรู้สึกนึกคิดเรานี่แหละ ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นผู้เสียสละวัตถุนี่แหละ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นวัตถุ แต่มันจะเกิดขึ้นมาด้วยน้ำใสใจจริงของคน คนมีเจตนา มีน้ำใสใจจริงอันนั้นเอามันมา แล้วเราเสียสละ เราแสวงหามาด้วยปฏิคาหก ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราเสียสละไป ผู้รับสะอาดบริสุทธิ์ มันจะเป็นอำนาจวาสนาบารมีของใจนี้ ฟื้นฟูใจนี้ขึ้นมา

แล้วฟื้นฟูใจนี้ขึ้นมา ถ้ามันลึกซึ้งเข้าไป ถ้ามันจะดีขึ้น นี่ความปกติของใจๆ เพราะความปกติของใจมีศีลแล้ว วัตถุมันเป็นเรื่องเบาบางแล้ว เพราะอะไร เพราะมันสละได้ที่ใจนี้ไง อารมณ์ก็สละได้ ความทุกข์ก็สละได้ ไอ้ความเครียดก็สละได้ ความสละออกมา ฝึกหัดขึ้นมาอย่างนี้ แล้วถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาอันนี้มันจะชำแรกเข้าไปในหัวใจเลย ปัญญาอันนี้

แต่สิ่งที่เราเสียสละอยู่ สิ่งที่เราเสียสละได้ๆ เสียสละได้คือปัญญาอบรมสมาธิ ความรู้สึกนึกคิด ความต่างๆ เราเสียสละมัน ถ้ารู้เท่าแล้วมันปล่อยๆๆ พอปล่อยเข้ามาแล้วมันปล่อยจนตัวมันสะอาด มันปล่อยจนตัวมันตั้งมั่น นี่ไง ปัญญาอบรมสมาธิ พอมันตั้งมั่นแล้ว ตั้งมั่นๆ มันปล่อยๆ มันปล่อยมา มันปล่อยเพื่อชำระล้างตัวมันเอง ชำระล้างตัวมันเองด้วยโลกียปัญญา ด้วยโลกๆ แล้วถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็นตามความเป็นจริงมันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการกระทำ ปัญญานี้มันจะเป็นมรรคแล้ว โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มันจะเกิดมรรคผล มรรคผลเกิดจากพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีใจของเรามันจะเกิดที่ไหน มันเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้นน่ะ มันไม่เกิดเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าความจริงขึ้นมา การกระทำนี้มันก็ต้องมีที่มาที่ไปไง เจดีย์ ฐานของเจดีย์ ฐานของเจดีย์ ฐานของทาน ฐานของสมาธิ องค์เจดีย์ ยอดเจดีย์เล็กนิดเดียว ฐานมันกว้างขวาง ธรรมของเรา ฐานมันกว้าง แต่พอมันขึ้นไปๆ ใครจะทำได้ล่ะ ถ้าทำได้ขึ้นมา อยู่บนยอดเจดีย์ขึ้นไปก็กลัวจะตก กลัวจะอยู่ไม่ได้ แต่ฐานยืนอยู่บนพื้นฐานนี้สบาย นี่ระดับของทาน ระดับของทานโดยฆราวาสธรรมมันก็คนทำได้ ทำได้ก็เพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุขไง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ ผู้นำ จิตใจของคนถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้ว หัวใจของเรา ใจของเรา เราเอาไว้ในอำนาจของเราได้มีความสุขนะ คนเขากระเสือกกระสนกันไปทั่ว ๓ โลกธาตุ เรายืนอยู่เฉยๆ แล้วดูเขา ดูเขาสิ ดูเขาเพราะอะไร เพราะมันกระเสือกกระสนมาจากภายใน มันกระเสือกกระสนมาจากความคิด มันกระเสือกกระสนมาจากหัวใจนั้น แล้วหัวใจของเรามันคลายหมดแล้ว

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระองคุลิมาลนะ เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุดต่างหาก หัวใจของเราหยุดแล้ว ถ้าหัวใจของเรายังไม่หยุด มันก็ยังแสวงหาเอาพิษเอาภัยมาให้ใจของเรา ถ้าหัวใจเราหยุดได้ แล้วเราสำรอกกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อวิชชาในใจของเราได้ มันจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะจิตมันไม่เคลื่อนไหว มันไม่ไปไหน มันถึงไม่มีการเกิด

ดูสิ ทางโลกเขาที่มีลูกยาก ที่เขาไม่มีลูกเพราะอะไรล่ะ ทำไมเขาไม่มีล่ะ แต่คนทุกข์คนจน โอ้โฮ! หัวปีท้ายปี มีตลอดเลย แต่จิตดวงนี้มันไม่ไปอีกแล้ว มันไม่มีเกิดที่ไหนทั้งสิ้น ถ้าไม่เกิดที่ไหนทั้งสิ้น ขอให้เราประพฤติปฏิบัติให้เป็นสัจจะความจริงในใจของเรา แล้วมันเกิดในใจของเราแล้วทำไมเราจะบอกเขาไม่ได้ ถ้ามันมีอยู่ในใจของเรา ทำไมเราจะบอกเขาไม่ได้ ที่มันบอกไม่ได้เพราะมันไม่มีในใจไง ไม่รู้วิธีการ ไม่รู้การกระทำ แต่ถ้ามันมีการกระทำ มันทำแล้วทำไมจะบอกเขาไม่ได้ถ้าเรามีอยู่จริง เอวัง